[Preview] Fan-fiction : ROTG
“Missing Memory”
22 ธันวาคม, อากาศค่อนข้างเย็น
ใกล้วันคริสต์มาสแล้วละแจ็ค อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ พยากรณ์อากาศเองก็บอกว่าหิมะจะตกเร็วๆ นี้ ถึงตอนนั้นโซฟีคงรบเร้าให้ผมไปเล่นสงครามปาหิมะด้วยกันเหมือนปีก่อนๆ แม้เธอจะรู้ว่าพี่ชายคนนี้เกลียดหิมะ เกลียดความเย็นของมัน เกลียดสัมผัสแผ่วเบายามมันตกลงบนฝ่ามือ และเกลียด…เกลียดเวลามองหิมะ มันทำให้ผมรู้สึกแย่ อึดอัด ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่จากที่ฟังคนอื่นเล่า เห็นได้ชัดว่าก่อนผมจะเสียความทรงจำ ผมชอบหิมะ(โซฟีใช้คำว่ารัก พี่รักหิมะ!) ซึ่งคำบอกเล่าดังกล่าวมีมูลอยู่พอสมควร ด้วยผมพบรูปตัวเองตอนอายุแปดขวบชูสองนิ้วยิ้มแฉ่งอวดฟันหลออยู่ข้างๆ รูปปั้นมนุษย์หิมะบิดๆ เบี้ยวๆ
ผมจำตัวตนนั้นได้เลือนราง แต่คิดว่าคงมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่
คุณชื่อไหมล่ะว่าผม เจมี่ เบนเน็ตต์ ผู้ชายที่เฉยชาต่อทุกสิ่ง เคยเป็นเด็กน้อยเจมี่แสนร่าเริง
ทั้งหมดต้องโทษอุบัติเหตุเมื่อห้าปีก่อน
แจ็ค…อะไรดลใจให้ผมออกไปข้างนอกคนเดียวหลังพายุหิมะสงบ อันตรายแบบไหนที่ทำให้ผมหมดสติอยู่ข้างทะเลสาบน้ำแข็งเพียงลำพัง หัวโชกเลือดจากการกระแทกกับหิน และตื่นมาพบว่าอะไรก็ตามที่ผมไม่เข้าใจ ได้พรากความทรงจำของเด็กชายที่ชื่อเจมี่ เบนเน็ตต์ไปแล้ว
ผมตื่นขึ้นมา จำไม่ได้กระทั่งชื่อ ไม่ต้องพูดถึงความทรงจำอื่น จะครอบครัวหรือคนรู้จัก เคยชอบอะไรหรือไปที่ไหน ผมจำใครหรืออะไรไม่ได้ทั้งนั้น เหลือก็แต่ความรู้สึกเจ็บลึกในอกอย่างบอกไม่ถูกเวลาเห็นหิมะสีขาวโพลน ราวกับว่าหิมะกำลังเตือนผมถึงบางสิ่ง แต่พอพยายามนึกถึง ผมกลับนึกอะไรไม่ออก
เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายผมจึงเลือกหันหลังให้ความคลุมเครือนี้ หลีกเลี่ยงทุกอย่างที่เกี่ยวกับหิมะ อาจดูงี่เง่าและไร้เหตุผล แต่ที่สุดแล้วอารมณ์ของคนเราก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะใช้เหตุผลมาตัดสิน
อีกอย่างนะแจ็ค วันนี้แม่ถามผมด้วยละว่าจำญาติที่มาเยี่ยมได้ไหม ทีแรกผมตั้งใจจะปฏิเสธ แต่พอเห็นสายตาคาดหวังนั้น ผมก็ตอบไปว่าพอจำได้
“อ้อ เหมือนผมจะนึกออกแล้วละครับ” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม แค่นั่นเธอก็ยิ้มกว้าง แววตาเป็นประกาย ท่าทางสุขใจของเธอ ทำให้ผมไม่กล้าบอกความจริงว่าผมไม่เคยจำเรื่องก่อนหน้าอุบัติเหตุได้เลย อย่างมากก็แค่คลับคลายคลับคลาเท่านั้น
ไม่เคยชัดเจน ราวกับว่ามีบางสิ่งปิดกั้นระหว่างผมกับอดีต
กี่ครั้งแล้วที่ผมต้องแสร้งยิ้ม บอกคนอื่นว่าผมจำได้ ทั้งที่ข้างในกลวงเปล่า ไม่อาจเข้าใจแม้ตัวตน
นานแค่ไหนแล้วที่ผมเขียนบันทึกเพื่อเรียบเรียงความจำที่ไม่ปะติดปะต่อ ทั้งที่มันไม่เคยได้ผล
แจ็ค ผมตัดสินใจแล้ว ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่ผมเขียนบันทึก ผมเขียนมันมาห้าปีแล้ว ผมพอแล้วกับการไขว่คว้าตัวตนในอดีต
ถึงเวลาต้องยอมรับเสียที ว่าผมไม่สามารถพาเจมี่คนเก่ากลับมาได้ และถ้าความทรงจำทั้งหมดทำให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจมี่ เบนเน็ตต์ที่ผมเคยเป็น คงไม่มีตัวตนอีกต่อไป
ส่วนผม…ก็เป็นเพียงชายที่ใช้ชื่อเจมี่ เบนเน็ตต์ และแบกรับความทรงจำที่คนอื่นมีต่อเขาไว้เท่านั้นเอง
J
1
เจมี่ เบนเน็ตวัยสิบเก้าวางปากกาลงข้างสมุดบันทึกที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เขาเหม่อมองสวนหลังบ้านผ่านกระจกสีขาวขุ่นจากฝ้าน้ำแข็ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววอ่อนล้า นึกไปถึงครั้งแรกที่เขียนบันทึก
จิตแพทย์ที่ดูแลเขาเป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา บอกกับเขาที่ตกอยู่ในความสับสน แปลกแยก และไม่เข้าใจว่า เอาละ เจมี่ ทำไมเธอไม่ลองเขียนสิ่งที่เธอรู้สึกลงสมุดสักเล่มดูล่ะ จะเป็นสิ่งที่พอจำได้ หรือชีวิตประจำวันก็ได้ มันจะช่วยให้เธอค่อยๆ เรียบเรียงความคิดในหัวให้เข้าที่ แล้วเธอจะจำเรื่องราวเก่าๆ ได้เอง
เขารับฟังคำแนะนำของจิตแพทย์ หาสมุดมาเล่มหนึ่ง แล้วเริ่มเขียน
ทีแรกติดขัด แต่พอสมมุติว่าสมุดบันทึกนี้ชื่อแจ็ค และเขียนบันทึกเหมือนเล่าชีวิตประจำวันให้แจ็คฟังเขาก็เขียนได้มากขึ้น มันช่วยให้เขาอุ่นใจ คล้ายได้คุยกับเพื่อนคนสำคัญ แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้เขาจำอะไรได้มากขึ้น กระนั้น เขาก็ยังเขียนมาเรื่อยๆ ด้วยความหวังว่าสักวัน ระหว่างที่เขียนบันทึก เขาอาจจะนึกอะไรออก
น่าเศร้าที่มันไม่เคยเกิดขึ้น
เจมี่ปิดสมุด จู่ๆ ก็สงสัยขึ้นมาว่าทำไมเขาถึงเลือกขื่อแจ็คให้กับสมุดบันทึก
ชื่อแจ็คหาได้ดาษดื่นก็จริง แต่เขาคิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เพราะเวลาเขียนชื่อแจ็ค นอกจากความอบอุ่นในหัวใจ เขายังรู้สึกเศร้า…
เรื่องนี้มันกวนใจไม่แพ้กับความรู้สึกเวลาเห็นหิมะ
“ช่างมันเถอะ…” เจมี่บอกกับตัวเอง ไม่ว่าแจ็คจะเคยเป็นความทรงจำแบบไหน แต่เขาก็ตัดสินใจทิ้งมัน ทิ้งทั้งสมุดบันทึก ทั้งแจ็ค และอดีตที่จำไม่ได้
เขาจมกับอดีตมามากพอแล้ว ได้เวลาเดินหน้าสักที
“เจมี่ ได้เวลาอาหารเย็นแล้วนะ”
เจมี่ลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคุณนายเบนเน็ตต์เรียก เขาเก็บเก้าอี้ เหลียวมองโต๊ะเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย แล้วหันหลังออกไปจากห้องโดยไม่ลืมปิดสวิตซ์ไฟ แต่เลือกเปิดโคมไฟที่โต๊ะทำงานทิ้งไว้
รอจนเสียงฝีเท้าของเจ้าของห้องเงียบหายไป ก็ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผมสีเงินยุ่งๆ ในเสื้อฮู้ดแขนยาวสีน้ำเงิน เขานั่งอยู่บนไม้เท้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ สักพักสองเท้าเปล่าเปลือยถึงค่อยๆ แตะลงบนพื้น เขาคว้าไม้เท้ามาถือ ก้าวเร็วๆ มาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานที่มีสมุดบันทึกวางทิ้งไว้
เด็กหนุ่มหยิบสมุดปกหนังมาเปิดอ่านสิ่งที่เจมี่เขียนอย่างถือวิสาสะ เขาอมยิ้มมุมปาก เกือบจะดูซุกซน แต่แววตานั้นเหงาหงอย
“อา เจ้าหนูเจมี่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ” เด็กหนุ่มฝืนหัวเราะ ถอยหลังลงไปนอนบนเตียงที่ปูด้วยผ้านวมสีน้ำเงินเข้ม สีเดียวกับเสื้อของเขา
เด็กหนุ่มเอาสมุดปิดหน้าไว้ ยกแขนข้างซ้ายทับสมุดอีกที “จะทิ้งข้างั้นหรือ” เขาพลิกไปทางขวา ดึงไม้เท้าเข้ามากอดแน่น สมุดจึงเลื่อนตก เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าอ้างว้าง
“เจมี่ เจ้ามันเด็กไม่ดี” แจ็คคว้าเอารูปเจมี่ที่วางอยู่บนหัวเตียงมาพูดใส่อารมณ์ “เจ้าทำให้แจ็ค ฟรอสต์รู้สึกแย่”
แจ็ควางกรอบรูป ทีแรกตั้งใจจะวางกระแทกเสียงดัง แต่กลับทำไม่ลง
ก็ในกรอบรูปนั่นน่ะ…เป็นรูปเจมี่สมัยเด็กที่สนุกกับการปั้นตุ๊กตาหิมะจนไม่หันมามองกล้อง ยิ่งไปกว่านั้น ถึงในภาพจะไม่มีเขาอยู่ แต่เขาก็จำได้ ว่าเขาอยู่ที่นั่นด้วย เล่นอยู่กับเจมี่ ช่วยเด็กชายปั้นตุ๊กตาหิมะ
ของสำคัญแบบนี้ เขาทำรุนแรงกับมันไม่ลงหรอก
แจ็คถอนหายใจ ลุกไปวางสมุดไว้บนโต๊ะที่มันเคยอยู่ เขาขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด พักใหญ่แล้วที่เขารับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลที่ทำให้เจมี่จำเขาไม่ได้สักที
เท่าที่อ่านบันทึกของเจมี่มาตลอดห้าปี เขาพบว่านอกจากเจมี่จะจำเรื่องของเขาไม่ได้แล้ว ทั้งที่ผ่านมานานขนาดนี้ เจ้าตัวยังจำไม่ได้แม้กระทั่งเรื่องครอบครัวหรือเพื่อนฝูงด้วยซ้ำ
“ทีแรกข้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมอยู่หรอก ก็เจ้าลืมข้าในขณะที่ข้าจำเจ้าได้นี่” แจ็คจับคาง เอียงคอพลางพึมพำ “แต่นี่…เจ้าจำไม่ได้แม้กระทั่งเรื่องของโซฟีด้วยซ้ำ”
ตอนนั้นเอง เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น แจ็คสะดุ้ง หันไปเห็นเจมี่เดินเข้ามาในห้อง ตรงมายังโต๊ะทำงานที่เขายืนอยู่
มือที่ยื่นมาดึงเก้าอี้ทะลุผ่านร่างแจ็คไป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่แจ็คยังอดใจหายไม่ได้อยู่ดี เขาลูบอกตัวเองด้วยความรู้สึกโหวงเหวง ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้ชายหนุ่ม ใกล้เสียจมูกเกือบชนกัน ใกล้จนเห็นดวงตาสีน้ำตาลหลุบต่ำชัดเจน
“เกิดอะไรขึ้นในหัวเจ้ากันแน่” เขาพูดกับเจมี่ที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ นึกถึงตอนไปเยี่ยมเจมี่ที่โรงพยาบาล วินาทีที่เจมี่ลืมตา เขาดีใจจนโผเขากอดคนตรงหน้า
ทว่าร่างแขนทะลุผ่านเด็กหนุ่ม
สายตาว่างเปล่าไม่สะท้อนภาพของเขา ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่าสำหรับเด็กชายนั้น แจ็ค ฟรอสต์ไม่มีตัวอยู่อีกต่อไป
เด็กน้อยคนสำคัญสูญเสียศรัทธาในตัวเขา
วินาทีนั้น โลกทั้งใบ…โลกที่เขาเฝ้ารักษาได้พังทลายลง
มันแย่เสียจนเขาอยากให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงฝันร้าย
“เจมี่…จำข้าให้ได้เถอะ” แจ็คบอกเสียงเบา ไม่รู้ว่าเขาพูดคำนี้มากี่ครั้งแล้ว แต่เขายังจะพูดต่อไป แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มไม่มีทางได้ยิน “ข้าอยากคุยกับเจ้า มีเรื่องที่ข้ายังไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังอีกเยอะเลยนะ แล้วก็เรื่องวันนั้น…วันคริสต์มาสเมื่อห้าปีก่อน เจ้าเรียกข้าออกไปทำไม เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยนะ เจ้า เด็ก บ้า เอ๊ย!”
เจมี่หยุดมือที่กำลังพลิกหน้าหนังสือ เขาหันซ้ายทีขวาที และต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตนเองผิดหวังแค่ไหนที่ไม่พบที่มาของเสียงคุ้นหู ที่กำลังเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เศร้าเอามากๆ
สาเหตุความผิดหวังอาจเป็นเพราะ ในความฝันที่ปกคลุมด้วยหมอก เจมี่ได้ยินเสียงนี้เรียกชื่อตนบ่อยครั้ง พอรู้ตัวอีกทีก็วิ่งตามหาที่มาของเสียงท่ามกลางหมอกหนาทึบ มาหยุดอยู่ตรงหน้าทะเลสาบเล็กๆ ที่กลายเป็นน้ำแข็ง
น้ำแข็งใสแจ๋วราวกระจก สะท้อนภาพเขาในวัยเด็กที่ยิ้มกว้าง จากนั้นหมอกสีขาวขุ่นกลับกลายเป็นสีดำทมิฬ มันเข้าปกคลุมรอบตัวเด็กชายอย่างมาดร้าย บีบรัดให้เขาทุรนทุรายด้วยความทรมาน
หมอกน่ารังเกียจนั่นกัดกินเข้าไปถึงความทรงจำ
เสียงหัวเราะแหบต่ำระเบิดขึ้น
เขามักสะดุ้งตื่นตรงนี้
บางทีเขาก็รู้สึกว่าฝันมากกว่านั้น เพียงแต่เขาจำไม่ได้ ทุกอย่างมันหยุดอยู่ที่เสียงหัวเราะชั่วร้าย
เจมี่ยกมือนวดหัวคิ้ว
ผู้ป่วยที่สูญเสียความจำมีอาการอย่างเขาทุกคนหรือเปล่านะ
เขาพยายามอ่านหนังสืออ้างอิงตรงหน้าต่อ แต่ดูท่าสมองเขาจะไม่รับข้อมูลใดอีกแล้ว จึงเห็นประโยคยาวเหยียดประกอบด้วยคำยากๆ เป็นตัวอักษรยึกยือไร้ความหมาย
เจมี่ปิดโคมไฟ ในห้องจึงมีเพียงแสงจันทร์นวลตาให้ความสว่าง สว่างพอจะพาเขาเดินไปล้มตัวบนเตียงนอนที่เจือกลิ่นหอมเย็นชวนคิดถึง
เขาพลิกตัวนอนหงายพลางยกมือก่ายหน้าผาก แล้วพึมพำชื่อใครบางคนออกมา ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกเจ้าของชื่อมองด้วยสายตาเหงาเศร้า ฝ่ามือขาวจัดอยู่ห่างจากแก้มเขาเพียงแค่กระดาษคั่น ไม่อาจสัมผัส เพราะว่าไม่มีตัวตนในสายตาเด็กน้อย
“ฝันดี เจมี่” แจ็คกระโดดถอยหลังออกมา เท้าลอยอยู่เหนือพื้นประมาณคืบหนึ่ง ดวงตาสีฟ้าใสสั่นระริก “ข้าจะรอปาฏิหาริย์จนสิ้นปีเลยละ แม้ว่ามันจะริบหรี่เอามากๆ ก็เถอะ”
แจ็คใช้นิ้วเขี่ยกระจก เกิดเป็นน้ำค้างแข็ง ล้อกับแสงจันทร์เป็นประกายแวววาว เจ้าตัวยิ้มอย่างพอใจกับของขวัญคริสต์มาสล่วงหน้า ก่อนจะล้วงกระเป๋าเสื้อ คว้าเอาลูกแก้วหิมะที่แอบขโมยมาจากนอร์ธปาลงพื้น
“ขั้วโลกเหนือ”
เด็กหนุ่มบอกปลายทาง ก่อนจะกระโดดหายเข้าไปในหลุมมิติหลากสี ทิ้งไว้เพียงเจมี่ เบนเน็ตต์ที่เริ่มหายใจแรงขึ้น สีหน้าผ่อนคลายในทีแรกเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน
“ไม่เอา…” เจมี่ครางเสียงเบา “ผมไม่…อยากลืม”
อุณหภูมิในห้องลดต่ำลง เจมี่ขดตัวเข้าหากัน เงามืดตรงมุมห้องอันเกิดจากจุดอับแสงของดวงจันทร์ค่อยๆ ขยายตัวขึ้น ก่อรูปร่างเป็นบุรุษร่างสูงสีดำทะมึนชวนหวาดหวั่น
“เจ้าจะไม่มีวันจำแจ็ค ฟรอสต์ได้” บุรุษสีดำหัวเราะเสียงต่ำ ขณะก้าวเข้ามายืนตรงหัวเตียง วางมือสองข้างอยู่เหนือตัวเจมี่ นิ้วยาวขยับคล้ายกำลังเชิดตุ๊กตา “ตราบเท่าที่เจ้ายังมีความกลัว เด็กน้อย…”
TBC…
Talk:
Missing Memory เป็นส่วนหนึ่งของ Anthology [How to train the Frozen Guardians]
ที่จะวางขายในงาน Movie Carnival ค่ะ <3